วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

เตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ

วิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจนี้เป็นวิชาที่นักศึกษาทุกคนต้องผ่าน ไม่เช่นนั้นก็จะไม่จบหลักสูตร ได้ยินมาจากที่รุ่นพี่พูดให้ฟังก็ไม่ได้หวาดเสียวอะไรเลย มิหนำซ้ำยังคิดว่าคงไม่มีอะไรหนักหนาหรือมีกฏเกณฑ์อะไรมากมาย พวกเราสามารถผ่านวิชานี้ไปได้อย่างแน่นอน(พูดกันในกลุ่มด้วยความมั่นใจสุด ๆ เลย) แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย...

วันแรกของการเรียนวิชาเตรียมฝึกก็เจอกฎแรก คือ ต้องแต่งกายถูกระเบียบ วันนี้เป็นเรื่องของรองเท้าก่อนต้องเป็นสีดำ ชั่งเป็นโชคดีของเราเหลือเกินเพราะวันนั้นเราใส่ถูกระเบียบพอดีเลย วันแรกนี้ก็มีการแนะนำอาจารย์ที่สอนวิชานี้และอาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละห้อง และแล้วห้องของเราก็เจอแจ๊กพ็อตเพราะห้องเราได้มีอาจารย์ปรมัตถ์ปัญปรัชญ์ ต้องประสงค์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา รุ่นพี่ปีสี่เฮฮากันใหญ่ พวกเราก็งงกันเหลือเกินว่าทำไมต้องเฮฮาและดีใจกับพวกเราขนาดนี้ และแล้วความมีระเบียบก็เกิดขึ้นภายในห้องแห่งนี้เมื่ออาจารย์สั่งให้ทุกคนมาจัดแถว เสร็จแล้วอาจารย์ก็จะมาเดินตรวจรองเท้าของนักศึกษาแต่ละคน ซึ่งก็มีหลายคนเหมือนกันที่ผิดระเบียบ ต้องโดนแยกไปตั้งแถวใหม่ จากนั้นก็เลือกพี่รหัสกันแต่ละคนจะมีพี่รหัสประจำตัว เพื่อที่จะไว้คอยช่วยเหลือเราและคอยแนะนำให้คำปรึกษารุ่นน้องเมื่อมีข้อสงสัย ต่อมาอาจารย์ก็บอกนักศึกษาทุกคนถึงกฎระเบียบของการแต่งกาย คือ กระโปรงต้องห้ามใส่ที่สะโพก และห้ามสั้น(สรุปคือให้ใส่ประมาณหัวเข่า) และรองเท้าก็ต้องถูกระเบียบ หากมีใครทำไม่ได้ก็จะไม่ให้เข้าเรียนวิชานี้ วันนี้ถือเป็นครั้งแรกของการสอนจึงอนุโลมให้ไปก่อน(โล่งใจ)

การเรียนวิชาเตรียมฝึกนั้นจะต้องทำโครงการ ซึ่งต้องเป็นโครงการที่สอดคล้องประเด็นยุทธ์ศาสตร์ชาติและสอดคล้องกลยุทธ์ของมหาวิทยาลัย กลุ่มของเราก็แก้ชื่อโครงการและเนื้อหากันหลายครั้งเหลือเกิน กว่าจะได้ชื่อและเนื้อหาที่ดูดีและลงตัวก็ใช้เวลาไปหลายสัปดาห์และแก้กันไปหลายรอบเหมือนกันและแล้วก็ได้โครงการที่จะทำกันในกลุ่ม คือ โครงการแนะนำการใช้โปรแกรมฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษาสู่เด็กผู้ด้อยโอกาสในชุมชนวัดโพธินิมิต แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร (ชื่อโครงการยาวเหลือเกินเกือบจะจำไม่ได้) การเรียนวิชาเตรียมฝึกได้มีการเรียนการสอนที่ตั้งฮั่วเส็ง ซึ่งพวกเราก็ต้องเร่งรีบไปให้ตรงเวลา เพราะก่อนเข้าเรียนนั้นต้องเช็คชื่อและตรวจการแต่งกายตั้งแต่ทรงผมใครผมยาวก็ต้องรวบผมไว้ให้เรียบร้อย เสื้อที่ใส่ก็ต้องใส่สบายไม่ฟิต กระโปรงที่ใส่ก็ต้องไม่เอวต่ำและต้องยาวก่อนจะถึงหัวเข่าประมาณหนึ่งฝ่ามือและรองเท้าต้องเป็นสีดำเท่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยในการเรียนวิชาเตรียมฝึก ถึงแม้จะมีบางเรื่องที่อึดอัดไม่อยากทำแต่เมื่อทำไปแล้วก็ส่งผลดีมากกว่าจึงถือเป็นประสบการณ์ที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ในการเรียนการสอนก็จะมีอาจารย์ของแขนงต่าง ๆ บรรยายให้ความรู้โดยที่นักศึกษาต้องสรุปส่งท้ายคาบเรียนทุกครั้ง เมื่อบรรยายจบก็มักจะสั่งงานหรือการบ้านตามมาเสมอ(ซึ่งการบ้านมากมายเหลือเกิน) ก่อนจะเลิกเรียนก็มีการเช็คชื่อกับอาจารย์อีกครั้งการเรียนวิชาเตรียมฝึกจะมีการแสดงนิทรรศการของแต่ละแขนง ซึ่งแขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจก็ได้มีการให้แต่ละกลุ่มนำเสนอโครงการของตนในวันงานด้วย ซึ่งจะเลือกเอาโครงการที่สอดคล้องกับยุทธ์ศาสตร์และตรงประเด็นที่สุดจะให้นำเสนอบนเวทีด้วย ซึ่งกลุ่มของพวกเราก็โชคดีที่ได้รับโอกาสนั้น (แอบดีใจ) ทุกคนในกลุ่มเต็มที่กับโครงการเป็นอย่างมาก เมื่อปฏิบัติงานเสร็จก็เริ่มแบ่งกันทำงานทั้งจัดบอร์ด ตัดต่อวีดีโอ แบ่งงานกันลงตัวก็พร้อมที่จะนำเสนอผลงานทันที เมื่อวันจัดนิทรรศการมาถึงทุกคนต่าง ๆ ตื่นเต้นเป็นพิเศษ หลายกลุ่มนำผลงานมาจัดแสดงกันเต็มที่ และมีการตกแต่งสุ้มของแต่ละโครงการดูสวยงาม และดูดีมากขึ้นทีเดียว เมื่อบนเวทีเสนอผลงานจนครบแล้วก็ให้นักศึกษาแขนงอื่น ๆ มาชมผลงานของแต่ละโครงการและทำแบบประเมินหลายโครงการได้รับความสนใจมาก อาจารย์เองก็จะมาประเมินโครงการของแต่ละกลุ่มด้วยซึ่งแต่ละกลุ่มต้องนำเสนอสั้น ๆ ให้อาจารย์ฟัง คอยตอบคำถามอาจารย์ด้วย สรุปคืองานเสร็จประมาณหกโมงครึ่ง เสร็จงานทุกคนต่างโล่งใจ เพราะทุกคนย่อมทุ่มเทกับโครงการของตัวเองเป็นที่สุด อาทิตย์ต่อมาก็จะเป็นของแต่ละแขนงว่าจะให้ความรู้กับนักศึกษาอย่างไร

จบจากเรื่องโครงการของแต่ละแขนงไปแล้วก็มีงานที่อาจารย์สั่งให้ทำและส่งตามมาอีกมากมายที่ต้องทำให้เสร็จ อาทิตย์ที่จะส่งงานเป็นอาทิตย์ที่วุ่นวายที่สุด เพราะมีงานค้างที่ยังไม่ได้ทำเยอะจริง ๆ ทุกคนเต็มที่อีกครั้ง สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ตัดสินก็ว่าได้ เพราะหากใครไม่มีงานส่งก็อาจจะไม่ผ่านวิชานี้ก็ได้ เมื่อทำงานส่งอาจารย์ครบทุกอย่าง ก็รู้สึกโล่งใจสบายปอดจริง ๆ

การเรียนวิชานี้ไม่ได้ให้ความรู้เพียงอย่างเดียว ยังสอนให้เรารู้จักกฎ ระเบียบ วินัย ที่ทุกคนควรจะมีต่อสถานที่ สถาบัน และตัวเองรวมถึงคนรอบข้างอีกด้วย สอนให้เป็นคนตรงต่อเวลา กล้าคิดกล้าแสดงออกและนำเสนอในสิ่งที่ดี ทำให้การชีวิตแบบไร้สาระไปวัน ๆ ต้องหันมาเริ่มจริงจังกับชีวิตและพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย อีกทั้งยังสอนให้มีเหตุผลในการกระทำและมีกระบวนการคิดในระยะยาว วิชานี้สอนให้นักศึกษาพร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากวิชานี้ไปประยุกต์ใช้ในสังคมและการทำงานในอนาคตได้

กินข้าว ทำให้อ้วนจริงหรือ



สมัยนี้หญิงสาวจำนวนไม่น้อยหันมาสนใจดูแลเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลอรีและไขมันต่ำ เพื่อรักษารูปร่างและควบคุมน้ำหนัก ดังนั้นหากใครมีสูตรอาหารที่ลองทานแล้วได้ผล ก็มักจะบอกต่อๆ กัน

หนึ่งในสูตรอาหารที่ควบคุมน้ำหนักที่ได้ยินบ่อยๆ คือ การงดกินอาหารจำพวกแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง บะหมี่ พาสต้า ถั่วอบแห้ง และผักที่ให้สารอาหารจำพวกแป้ง ได้แก่ มันฝรั่ง ข้าวโพด และ ฟักทอง หรือแม้แต่พวกผลไม้และผลิตภัณฑ์จากนมที่มี ฟรุคโตส และแลคโตส พูดง่ายๆ ว่าหากอยากควบคุมน้ำหนักแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ชายตามองอาหารจำพวกแป้งหรืออาหารที่มีรสหวานได้เลย และก็เป็นที่น่าสังเกตว่า มีอาหารลดน้ำหนักหลายสูตรแนะนำให้กินอาหารประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ได้มากเท่าที่อยากกิน แต่ห้ามกินพวกคาร์โบไฮเดรต โดยอ้างว่าการกินอาหารที่ให้โปรตีนสูงจะช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันได้ดีกว่าการกินอาหารที่มีอัตราไขมันต่ำ

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาเร็วๆ นี้พบว่าการกินอาหารที่เน้นโปรตีน หรือมีไขมันต่ำ ต่างก็ให้ผลสำเร็จในการควบคุมน้ำหนักเหมือนกันหากทานต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี ขณะเดียวกันหากมัวแต่งดกินอาหารพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตอย่างจริงจัง จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายดังนี้

- ร่างกายจะขาดวิตามิน บี ซึ่งจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานช้าลง

- หากงดกินผลไม้ หรือผักที่ให้สารอาหารประเภทแป้ง จะทำให้ร่างกายขาดใยอาหาร วิตามิน เอ ซี และ อี ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องผูก การมองเห็นตอนกลางคืนไม่ชัด ภูมิต้านทานต่ำ และอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ตามลำดับ

- หากงดดื่มนมจะทำให้กระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากร่างกายขาดแคลเซียม

- การจำกัดอาหารประเภทแป้ง จะทำให้คุณหันไปกินไขมัน โปรตีน และเกลือมากขึ้นซึ่งเสี่ยงทำให้ระดับโคเลสเตอรอลเพิ่มสูงขึ้น โรคไต และความดันโลหิตสูง

ผู้ที่กำลังลดน้ำหนักหรือควบคุมอาหาร ไม่ควรมุ่งลดอาหารจำพวกแป้งอย่างเข้มงวดอีกต่อไป เพราะจริงๆ แล้ว คาร์โบไฮเดรตไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด แต่กลับเป็นพวกไขมันกับน้ำตาลมากกว่าที่เป็นตัวการสำคัญ

ดังนั้นเราควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่า มีสัดส่วนตามธงโภชนาการ นั่นคือกินอาหารจำพวกแป้งเป็นจานหลัก เช่น ขนมปังโฮลวีท ข้าวกล้อง เป็นต้น เพื่อให้พลังงานเพียงพอต่อร่างกาย รวมถึงใยอาหารและวิตามินต่างๆ นอกจากนั้นยังช่วยทำให้อิ่ม ไม่หิวเร็ว และที่สำคัญคือ ไม่กินมากเกินความจำเป็น กินผลไม้และผัก โดยต้องให้ได้ 2- 3 ส่วนของปริมาณอาหารแต่ละวัน เนื่องจากประกอบด้วยวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนอาหารประเภทโปรตีนควรทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันไม่มาก เช่น เนื้อปลา อกไก่ กินเต้าหู้ไม่เกิน 12 ช้อนโต๊ะต่อหนึ่งวัน กินผลิตภัณฑ์จากนมเพื่อป้องกันการขาดแคลเซียม ที่สำคัญต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานและไขมันมาก เช่น ของทอด มันฝรั่งทอด เค้ก ของหวาน ไอศกรีม น้ำหวานต่างๆ เป็นต้น

ทำไมยาคูลท์ถึงมีแต่แบบขวดเล็ก




หลายคนสงสัยไหมว่าทำไมยาคูลท์ถึงไม่มีขวดใหญ่เลย เพราะคนที่ทานเยอะ เมื่อดื่มแล้วไม่อิ่ม จริงไหม

ยาคูลท์ (Yakult) เป็นเครื่องดื่มคล้ายโยเกิร์ตชนิดหนึ่ง ถูกคิดค้นโดย ศาสตราจารย์ชิโระตะ มิโนะรุ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต เกิดจากกระบวนการหมักของนมพร่องมันกับน้ำตาลและแบคทีเรียแลกโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในระบบดูดซึมอาหารของมนุษย์ ซึ่งส่งผลช่วยให้ระบบในร่างกายของมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น ชื่อของยาคูลท์มาจากภาษาเอสเปรันโต คำว่า Jahurto ซึ่งหมายถึงโยเกิร์ต นั่นเอง

โดยปกติธรรมชาติแล้ว จุลินทรีย์ชนิดนี้มีอยู่แล้วตามทางเดินอาหารของคนเรา และเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ ช่วยทำให้เกิดกระบวนการย่อย และหมักในทางเดินอาหารในส่วนที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถจะย่อยได้ จุลินทรีย์กลุ่มนี้จะคอยช่วยเหลือ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายต่อเราได้เช่นเดียวกัน คืออาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ เพราะจุลินทรีย์ผลิตกรดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลทำให้ยาคูลท์ผลิตขนาดเดียว คือ 80 ซีซี ที่พอเหมาะกับปริมาณของเชื้อแลคโตบาซิลลัส โดยจะสังเกตข้างขวดที่เขียนไว้ว่า มีปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัส 8.0x10 ( ยกกำลัง 9 )

ถ้าทำยาคูลท์ให้มีขนาดขวดใหญ่พอ ๆ กับยาคูทล์ 6 ขวดเล็กรวมกันแล้วละก็ คงไม่ดีต่อผู้บริโภคแน่ เพราะจะทำให้ได้รับปริมาณเชื้อแลคโตบาซิลลัสมากเกินพอ หรือถ้าจะทำขนาด 450 ซีซี ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ลดปริมาณแลคโตบาซิลลัสลงอาจจะทำได้ แต่เชื่อแน่ว่ารสชาติของยาคูลท์อาจจะเปลี่ยนไปไม่อร่อยเหมือนเคย

และถ้าหากเราทานยาคูลท์วันละ 6 ขวด เพื่อความอร่อยแต่อาจเกิดโทษขึ้นได้ ทานวันล่ะขวดก็เพียงพอแล้ว คนที่ไม่ทานเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าในร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ชนิดนี้อยู่เรียบร้อยแล้ว อีกเรื่องที่ควรสังเกต เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่บริโภคยาคูลท์ก็คือ อย่าลืมดูวันหมดอายุข้างขาดและเลือกซื้อจากตู้แช่ที่เก็บไว้ใน อุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้ได้จุลินทรีย์ที่พร้อมจะทำงานให้เราได้ทันที